Monday, December 15, 2014
Wednesday, November 26, 2014
Tuesday, November 18, 2014
Sunday, November 16, 2014
Wednesday, October 15, 2014
Sunday, September 7, 2014
Monday, August 4, 2014
GOOD NEWS OVER
เรียน ทุกท่าน
ด้วยคณะการบริการและการท่องเที่ยว มอ ภูเก็ต เป็นศูนย์เครือข่ายประเมินสมรรถนะบุคลากรวิชาชีพการโรงแรมและการท่องเที่ยว ประจำภาคใต้ ได้รับมอบหมายจากศูนย์ทดสอบและประเมินเพื่อพัฒนาการศึกษาและวิชาชีพ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเครื่องมือทดสอบ และอยู่ในช่วงการพัฒนาเครื่องมือให้มีความสมบูรณ์ ดังนั้นทางศูนย์ฯ ได้กำหนดให้มีการทดสอบทักษะบุคลากรในโรงแรมแผนกต่างๆ ดังนี้ โดยมีคณะฯ เป็นผู้ประสานงานการทดสอบ (รายละเอียดเบื้องต้นตามไฟล์แนบ)
1. แผนก FO ตำแหน่งงาน Receptionist & Bellboy จำนวน 100 คน
2. แผนกแม่บ้าน ตำแหน่งงาน Floor Supervisor & Room Attendant จำนวน 200 คน (ภาคทฤษฎี) และ 150 คน (ภาคปฏิบัติ) พนักงาน 1 คน สามารถสอบได้ทั้ง 2 ภาคทฤษฎ๊และปฏิบัติ
3. แผนกอาหารตำแหน่งงาน Executive Chef & Demi or Sous Chef) จำนวน 100 คน
4. แผนกบริการอาหารและเครื่องดื่ม ตำแหน่งงาน F&B Outlet Manager & Waiter) จำนวน 100 คน
โดยการทดสอบจะแบ่งเป็น
1. ทดสอบสมรรถนะหลัก/สมรรถนะทั่วไป และเจตคติต่องาน (1 ชม. 30 นาที)
2. ทดสอบภาษาอังกฤษ ( 45 นาที)
3. ทดสอบภาคปฏิบัติ (เฉพาะแผนกแม่บ้าน)
สำหรับวัน เวลา และสถานที่ทดสอบคณะฯ จะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกครั้ง หากต้องการข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติม หรือแจ้งจำนวนผู้ทดสอบของสถานประกอบการ ติดต่อสอบถามได้ที่ผม หรือผู้ประสานงานโครงการ ตามใบสมัครที่แนบมา (หมดเขตแจ้งความประสงค์ในการส่งบุคลากรเข้าทดสอบวันที่ 1 สิงหาคม 2557)
อนึ่งเมื่อการสอบเสร็จสิ้นแล้ว ทางศูนย์จะแจ้งผลของพนักงานมายังสถานประกอบการที่เข้าทดสอบด้วย สถานประกอบการสามารถนำผลไปใช้ในการวางแผนการพัฒนาฝึกอบรมบุคลากรต่อไป ..... กรณีพนักงานที่ทดสอบและผ่านเกณฑ์ พนักงานยังไม่สามารถที่จะนำผลไปใช้ยื่นเพื่อขอรับใบประกาศสมัครงานในกลุ่มสมาชิกอาเซ๊ยนได้
หากท่านใดมีความสนใจร่วมในการประเมินดังกล่าว
กรุณาติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่
1. นางสาวอมรพันธ์ แก้วสิทธิ์ มือถือ
081-271-0617 โทรสาร
076-276201 อีเมล:
amornphun.koi@gmail.com

2. นางสาวอมรรัตน์ สหพัฒนวนา มือถือ
084-889-9455 โทรสาร
076-276201 อีเมล:
amonrat.sh@gmail.com--

With Best Regards,
Food & Beverage Managers Club Andaman
Sunday, July 20, 2014
การดื่มไวน์ให้ได้อรรถรส

ieasywine ไออีซี่ไวน์ แนะนำขั้นตอนการดื่มไวน์ง่ายๆ ที่ถูกต้องอย่างมือ อาชีพ มาฝากสมาชิกทุกๆท่าน บางที หรือหลายๆครั้ง ไวน์มักถูกมองว่าเป็นเครื่องดื่มที่ยุ่งยาก ความจริงแล้วไวน์เป็นเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัว สังคมโลกพัฒนาไปไวมาก ไวน์คือเครื่องดื่มที่กำลังได้รับความนิยมสูงควบคู่ไปกับการพัฒนานั้น มาเตรียมความพร้อมสู่โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงกัน
การชิมหรือการได้สัมผัสเนื้อไวน์เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่สนับสนุน ในการเพลิดเพลินเกี่ยวกับไวน์ แต่น่าเสียดายที่ขั้นตอนนี้มักจะถูกมองข้ามไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ มันไม่ใช่กฎแต่มันควรจะเป็นวัฒนธรรมของการดื่มมากกว่า พื้นฐานต่อไปนี้จะมุ่งเน้นไปที่เทคนิคการปฏิบัติที่ควรได้รับการสนับสนุนสำหรับผู้ต้องการดื่มไวน์ให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
ไวน์ มีหลากหลายเรื่องราวเข้ามาเกี่ยวพันธุ์กัน ของการดื่มไวน์ในแต่ละครั้ง ชนิดของไวน์ ปีของไวน์ รวมทั้งผู้ผลิต ต่างๆเหล่านี้ คือสิ่งที่ผู้ดื่มล้วนแล้วแต่คาดหวังว่าจะได้ไวน์ที่ดีมาดื่ม รู้ไหมการรัประทานอาหารที่รสจัด และการสูบุรี่ การใช้น้ำหอมล้วนแล้วแต่ไม่เหมาะในการดื่มไวน์ทั้งสิ้น การแปลงฟันเองก็เช่นกันมันไม่เหมาะเลยจริงๆ นอกจากจะไม่ได้ลิ้มรสไวน์ที่แท้จริงแล้ว บางทีอาจจะเพิ่มโอกาสในการย้อมสีให้กับฟันของคุณเองอีกต่างหาก
วิธีการลิ้มรสไวน์ให้เกิดความสุนทรีย์ มีอยู่ 5 ขั้นตอน คือ
1. Look (ดู) ขั้นตอนนี้ สมองของเราจะสร้างความคิดและจินตนาการในการชิม ให้มองไปที่เงาของสีและความทึบแสง มันจะบอกเราถึงความเข้มข้นของไวน์ ช่วยในการนำไปเปรียบเทียบกับไวน์อื่นๆในพันธุ์เดียวกัน ถ้าไวน์มีสีเข้มรสชาติของไวน์มักจะเข้มและรุนแรงมากขึ้น สีของไวน์ที่ยากที่จะมองผ่านจะบอกเราว่าไวน์นั้นมาจากไหน ความหนืดของไวน์จะบอกปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่
2. Smell ( กลิ่น) กลิ่นคือเสน่ห์ของไวน์ การระบุกลิ่นคือศาสตร์การรับรู้กลิ่น ทำให้ได้รสชาติไวน์ได้ง่ายขึ้น เราจะเริ่มต้นด้วยการหมุนแก้ว บนกระจก หรือบนโต๊ะ เพื่อให้ไวน์ได้ปล่อยกลิ่นหอมของมันออกมา หมุนแก้วไวน์บนโต๊ะแบน และย้ายมือของคุณทำให้เป็นเหมือนกับกำลังวาดวงกลมขนาดเล็กที่มีฐาน เสร็จแล้วยกแก้วขึ้นจนติดจมูกให้จมูกอยู่ตรงกลางแก้วของคุณ สูดเอาอากาศขนาดใหญ่ กลิ่นที่ได้หมายถึงผลไม้สีแดง สีดำ และดอกไม้นานาพันธุ์
3.Taste (สัมผัสเนื้อไวน์) มีใครบ้างที่ไม่รักขั้นตอนนี้? ให้ไวน์อยู่ในปาก และปล่อยให้ไวน์หมุนรอบปากของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าส่วนรับรสของลิ้นทั้งหมดได้สัมผัสกับไวน์ก่อนที่คุณจะกลืนมันลงไป ทีนี้ต้องคิดเกี่ยวกับรสชาติพื้นผิวและร่างกายของไวน์ว่า มันมีความคมชัดมากน้อยขนาดไหน มันทำให้ลิ้นของคุณรู้สึกแห้ง ทำรสชาติตรงกับกลิ่นจากก่อนหน้านี้ คุณสามารถตั้งชื่อผลไม้ แร่ หรือเครื่องเทศต่างๆ มันมีการเผาไหม้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ กลับไปหากลิ่นไวน์อีกครั้งหลังจากจิบครั้งแรกของคุณเพื่อช่วยในการกำหนดข้อสรุปอีกครั้งว่าไวน์นั้นดีเพียงพอหรือเปล่า
4. Swallow (กลืน) เอาละคุณเคยบ้วนไวน์นั้นทิ้งเพียงเพราะไม่ชอบหรือเปล่า มีหลายเหตุผลนะที่บางทีคุณอาจคายไวน์นั้นทิ้ง บางทีมันอาจไม่เหมาะกับรสนิยมของคุณ หรือบางทีคายทิ้งเพราะต้องการดื่มตัวถัดไปมากกว่า หรือบางทีคุณอาจมีความจำเป็นต้องขับรถ แต่ไม่ว่าคุณจะกลืนหรือคายทิ้ง ไวน์ก็ยังคงมีเสน่ห์อยู่เสมอ ขั้นตอนนี้จะบ่งบอกถึงว่าไวน์นั้นเข้มข้นขนาดไหน เราควรทิ้งไวน์ไว้ที่ปากสักพักแล้วค่อยๆกลืนลงคอ มันจะบอกตัวตนที่แท้จริงของไวน์ หลังกลืนลงไปให้ดูว่าไวน์นั้นยังอยู่ในลำคอของคุณได้นานขนาดไหน แล้วค่อยๆหายใจเข้าและออกเบาๆยาวๆ คุณจะได้กลิ่นที่มหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก
5. Think (คิด) มีคนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยดื่มไวน์ที่หู คือไม่ยอมคิดคอยแต่จะฟังคนอื่นพูดแล้วเออออ ตามอย่างนั้นผิดมาก ไวน์เป็นศาสตร์และศิลย์ ฉะนั้นไม่มีคำตอบทีผิด จงหยุดคิดสักนิดก่อนจะข้ามไปอีกแก้ว คิดยังไง คิดประมวณผลออกมาว่า แอซิด แทนนิน น้ำตาล ปริมาณแอลกอฮอล์ มีมากหรือน้อย แล้วมันสมดุลย์กันหรือเปล่า แล้วคุณเองก็จะไม่ต่างอะไรจากมืออาชีพ
การดื่มไวน์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ การดื่มที่พอเหมาะ ช่วยให้สุขภาพดี ตรงกันข้ามถ้าดื่มอย่างไร้สติ ชีวิตมีแต่จะสูญเสีย…..
เครดิต http://ieasywine.com/
ไวน์ชนิดไหนคู่กับเมนูประเภทใด มารยาทที่ต้องรู้ในการจิบ!
ไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกชนิดซึ่งหลายคนโปรดปราน บ้างชื่นชอบด้วยกลิ่น และรสชาติ บ้างก็ต้องจิบเพื่อออกงานสังคม ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะดื่มด้วยสาเหตุไหน ไวน์ก็ขึ้นแท่นติดอันดับเครื่องดื่มฮอตฮิตของเราๆ ไปแล้วค่ะ! | ||||
โอกาสนี้ เราได้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไวน์ หนึ่งฤทัย ไชยา ผู้จัดการสาวแห่งห้องอาหารวี ไวน์ แอนด์ กริลล์ โรงแรมวี โฮเต็ล กรุงเทพฯมาบอกเล่ามารยาทอันเหมาะสมในการดื่มไวน์ ข้อไหนควร สิ่งไหนต้องเลี่ยง และที่สำคัญ หากอยากเพิ่มพูนความอร่อยให้มากขึ้น คุณควรสั่งไวน์ประเภทใดมาจิบคู่กับอาหารเมนูไหน “จริงๆ การดื่มไวน์ ไม่ว่าจะกับอาหารชนิดไหนก็ตาม หากเราชอบก็สามารถทานคู่กันได้ เพียงแต่ว่า อาหารบางอย่าง ถ้าทานกับไวน์ที่ไม่เหมาะกัน มันจะทำให้ทั้งรสชาติอาหารและรสชาติไวน์เปลี่ยนไปเลย อาหารจากที่อร่อย อาจกลายเป็นไม่อร่อยเลยก็ได้ รวมถึงไวน์ ต่อให้เป็นไวน์ขวดละแสน แต่ถ้าเราเลือกอาหารไม่เข้ากัน ก็ทำให้ไวน์เสียรสชาติไปเลย ในทางกลับกัน ถ้าเราเลือกอาหารที่เข้ากันได้ดี ทั้งอาหารและไวน์มันจะเข้ากัน จนทำให้เรารู้สึกว่าทั้งสองอย่างอร่อยยิ่งขึ้น” ผู้จัดการหนึ่งฤทัย เกริ่นให้ทราบถึงความสำคัญของการเลือกอาหารมาทานคู่กับไวน์ *ไวน์ขาว* : เหมาะนักกับไก่-ซีฟู้ด | ||||
หรือไวน์ขาวจากพันธุ์องุ่นชาร์ดอนเน่ย์ (Chardonnay) ก็จะมีรสชาติเข้มข้นขึ้นมาอีกนิด ตัวนี้สามารถทานกับไก่ย่างหรือหมูย่างก็ยังได้ คือ เป็นเนื้อสัตว์สีขาว หรือเนื้อหมูก็พอได้ แต่ไม่ถึงกับขั้นเนื้อแดงอย่าง เนื้อวัว” ผู้จัดการสาวกล่าว : เลี่ยงจิบคู่อาหารครีม-เนื้อแดง | ||||
“อาหารที่ไม่น่าจะสั่งมาทานคู่กับไวน์ขาว ก็เช่น เนื้อย่างบนเตาถ่าน ทานคู่กับไวน์ขาวโซวินญอง บลอง อันนี้ด้วยรสชาติแล้ว มันเหมือนไปฆ่ากันเกินไป เพราะจากการที่ลิ้นเราสัมผัสกับเนื้อที่มีกลิ่นควันไฟแล้ว พอไปโดนโซวินญอง บลอง ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติไวน์มันจะออกมาไม่ดี รสชาติอาหารก็พลอยไม่อร่อยไปด้วย หรืออย่างอาหารที่มีความเป็นครีมมากเกินไป อย่างเช่น พาสต้า ครีมซอส (Pasta Cream Sauce) ก็เช่นกัน ถ้าไปทานคู่กับโซวินญอง บลอง ที่ออกรสชาติออกเปรี้ยวๆ มันจะทำให้ลิ้นรับรสว่า ไวน์มีรสชาติขม เหมือนขมติดอยู่ในปาก ขมติดคอ จากไวน์ที่สดชื่นดื่มง่ายๆ จะกลายเป็นไวน์รสชาติขมได้” | ||||
*ไวน์แดง* : อร่อยล้ำเมื่อทานคู่เนื้อแดง รสชาติเข้มข้น | ||||
แต่ถ้าเป็นไวน์แดงรสเข้มเลย อย่างเช่น กาแบร์เนต์ โซวีนยอง (Cabernet Sauvignon) ของชิลี แบบนี้จะแนะนำให้ทานคู่กับเนื้อที่มีซอสรสเข้มไปเลย อย่างที่ห้องอาหารของเรา ก็อาจจะแนะนำเป็นเนื้อสเต็กฮ็อกกูเบ ราสซอสแบล็กทรัฟเฟิล ที่มีกลิ่นหอมของเห็ด พอได้ไวน์ที่หอมๆ อย่าง กาแบร์เนต์ โซวีนยอง มาทานคู่กัน มันก็จะเข้ากันมาก ทั้งไวน์และอาหารมันจะส่งเสริมกันให้ยิ่งอร่อย” : เลี่ยงจิบคู่อาหารทะเล ควรเบี่ยงทานคู่กับไวน์แดง | ||||
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หอยนางรมสด จะไม่เหมาะกับไวน์แดง อาหารซีฟู้ดเหล่านี้จะเหมาะกับพวก สปาร์คกิ้งไวน์ (Sparking Wine) หรือแชมเปญ (Champagne) รวมถึงไวน์ขาวพันธุ์โซวินญอง บลองมากกว่า ซึ่งตรงนี้เราอาจสังเกตได้ว่า ห้องอาหารหลายแห่งเลยที่มักจัดโปรโมชันหอยนางรมคู่กับโซวินญอง บลอง หรือหอยนางรมคู่กับแชมเปญ สาเหตุก็เพราะรสชาติมันเข้ากัน ทานแล้วจะยิ่งอร่อยนั่นเอง” ไวน์&ชีส คู่อร่อย หากเลือกได้เหมาะ! | ||||
“ทานชีสได้กับไวน์หลายชนิดมาก หลายคนอาจจะชินว่า ชีสจะทานคู่กับไวน์แดงเท่านั้น ชีสทานกับอย่างอื่นไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ชีสสามารถทานกับสปาร์คกิ้งไวน์ได้ ทานกับไวน์ขาวบางตัวก็ได้ ทั้งนี้เพราะชีสมีหลายพันชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็เลือกทานกับไวน์ที่แตกต่างกันได้ เช่น ครีมชีส (Cream Cheese) ที่มีความนุ่ม ก็ควรทานกับไวน์แดงที่มีรสชาติความเข้มระดับกลาง และไม่ควรทานคู่กับไวน์ขาวที่รสเปรี้ยวอย่าง โซวินญอง บลอง เพราะอย่างที่บอกว่าไวน์รสเปรี้ยว เมื่อได้รับรสครีมเยอะๆ อาจทำให้รู้สึกขมได้ ดังนั้นถ้าอยากทานไวน์ขาวกับชีส ก็อาจเลือกเป็นชีสแข็งที่ทานแล้วไม่ค่อยติดลิ้น และเลือกทานกับไวน์ขาวรสชาติเข้มสักหน่อยอย่าง ชาร์ดอนเน่ย์ แบบนั้นจะเหมาะกว่า” กูรูแนะ! มารยาทการจิบไวน์ | ||||
ปล่อยให้เจ้าภาพเลือกไวน์ ตามมารยาทแล้ว หากคุณไม่ใช่เจ้าภาพ ควรปล่อยให้เจ้าภาพเลือกไวน์เอง แต่หากคุณเป็นเจ้าภาพ หรือเป็นคนที่เจ้าภาพให้เกียรติคุณเป็นผู้เลือกไวน์ Wine Sommerlier หรือผู้แนะนำไวน์ จะเอาไวน์มาให้คุณชิม และตัดสินใจ ซึ่งโดยมารยาทการชิมไวน์นั้น ควรให้ผู้เลือกเป็นผู้ชิมไวน์เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ควรที่จะขอให้คนอื่นร่วมชิมเพื่อช่วยตัดสินใจ ให้ Wine Sommerlier ช่วยแนะนำ หลักง่ายๆ หากคุณไม่ชำนาญเรื่องไวน์ แล้วต้องเป็นเจ้าภาพ หรือผู้เลือกไวน์คือ ขอให้ Wine Sommerlier เป็นผู้แนะนำ โดยคุณอาจบอกความต้องการว่า อยากได้ไวน์แบบไหน เช่น ไวน์แดงรสเข้ม หรือไวน์ขาวที่ดื่มง่าย เพื่อให้ Wine Sommerlier เสนอแนวทาง และแนะนำไวน์ได้ตรงตามความต้องการของคุณ ผู้เลือกไวน์ จะได้รับการรินไวน์ คนสุดท้าย เมื่อชิมและตัดสินใจสั่งแล้ว Wine Sommerlier จึงจะนำไวน์มาเสิร์ฟ โดยจะเริ่มเสิร์ฟจากคนอื่นๆ ในโต๊ะก่อน บางแห่งอาจเสิร์ฟผู้หญิงในโต๊ะให้ครบทุกคนก่อน แล้วค่อยเสิร์ฟผู้ชายท่านอื่นในโต๊ะ เมื่อครบทุกคนแล้วจึงมาเสิร์ฟคนเลือกไวน์ พูดง่ายๆ คือ คนที่เลือกไวน์จะได้รับการรินไวน์เป็นคนสุดท้ายในโต๊ะเสมอ แกว่ง-ดูขาไวน์ ควรแกว่งแก้วไวน์เบาๆ ให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ เพื่อให้ไวน์พัฒนาตัวเองได้มากขึ้น จากนั้นหากเชี่ยวชาญสักหน่อย อาจมองเพื่อดูสีและขาไวน์ (ลักษณะการเคลื่อนตัวลงมาของไวน์ เมื่อเขย่าแก้วแบบหมุนวนแล้ว) นักดื่มไวน์ที่เชี่ยวชาญบางท่านแค่เพียงดูขาไวน์ ก็จะรู้ถึงอายุของไวน์ รวมถึงรู้ว่า ไวน์นั้นๆ มีปริมาณน้ำตาลอยู่มากน้อยแค่ไหน ถ้าไหลเร็วจะแสดงว่า น้ำตาลไม่เยอะ เพราะมีความหนืดน้อย น้ำตาลน้อย นั่นคือ ยังเป็นไวน์สดๆ บ่มไม่นาน รสชาติจะออกเปรี้ยว เป็นต้น สูดกลิ่นหอม ก่อนจิบทีละนิด ก่อนจิบไวน์ ควรสูดกลิ่นหอมของไวน์ก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ จิบ พร้อมอมไว้ในปากสักครู่ก่อนกลืน เพื่อให้ได้ทั้งกลิ่น และรสชาติของไวน์อย่างเต็มที่ เริ่มต้นด้วยไวน์ขาว จึงต่อด้วยไวน์แดง หากต้องการดื่มไวน์ 2 ชนิด ควรเริ่มต้นด้วยไวน์ขาว แล้วต่อด้วยไวน์แดง เนื่องด้วยตัวคาแร้กเตอร์ของไวน์แดงไม่ว่าจะเป็นพันธุ์องุ่นอะไรก็ตาม ความเข้มข้นของเขาก็จะเยอะกว่าไวน์ขาวอยู่ดี หากเราดื่มไวน์แดงก่อน จะทำให้ไวน์แดงซึ่งมีความฝาดอยู่ในตัว ติดอยู่ที่ลิ้น พอมาดื่มไวน์ขาว มันก็จะทำให้เราไม่ได้รับรสชาติที่ดีของไวน์ขาว แต่หากท่านไหน อยากทานไวน์แค่ชนิดเดียว อาจเลือกเป็นไวน์ขาวรสชาติกลางๆ เพื่อที่จะสามารถทานได้กับอาหารหลายชนิด หรืออาจตัดสินใจตามอาหารจานหลักที่เราเลือกไว้ เช่น จะทานอาหารจานหลักเป็นเนื้อแกะ ก็อาจจะเลือกไวน์แดงไปเลย แต่ก่อนที่อาหารจานหลักเสิร์ฟ เราก็อาจจะแค่จิบไวน์นิดหน่อยกับสลัด หรืออาหารจานอื่นๆ ไปก่อน” ผู้จัดการสาวทิ้งท้ายว่า ถ้าในมื้ออาหารที่คุณไม่ได้ ร่วมอยู่กับแขกคนสำคัญ หรือมีพิธีรีตองมากมายนัก และอยากทานอาหารกับไวน์ให้อร่อยสบายใจสุดๆ ก็แค่ทำตามใจตัวเอง “ที่สุดแล้ว เรื่องของการดื่มไวน์มักเป็นไปตามความพึงพอใจของแต่ละบุคคล บางคนคนชอบไวน์รสชาติเข้มหนักแน่น ก็จะคิดว่าขอแค่เป็นไวน์ที่ตัวเองชอบ จะกินกับอะไรก็อร่อย เพราะคุณชอบแบบนั้น ฉะนั้นท้ายที่สุดแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่ว่า ยังไงก็ได้ ขอแค่คุณมีความสุข กับมื้ออาหารของคุณ” | ||||
เครดิต >>> http://www.manager.co.th/Celebonline/ViewNews.aspx?NewsID=9540000084784 |
Friday, July 11, 2014
10 อันดับอาหารที่แพงที่สุดในโลก(ภาพจัดเต็ม!!)
10 ขนมหวานแพงที่สุดในโลก – The Golden Opulence Sundae ของร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน
ไอศครีมช็อคโกแลตซันเด ถ้วยนี้ ได้รับการจดบันทึกลงในกินเนสบุ้ค ออฟ เวิล์ด เรคคอร์ด ว่าเป็น “ขนมหวานแพงที่สุดในโลก” มีจำหน่ายที่ร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน กลางกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ด้วยสนนราคาถ้วยละ 25,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 850,000 บาท “Frrrozen Haute Chocolate” คือ ชื่อของช็อคโกแลต ซันเดแพงระยับถ้วยนี้ ส่วนสาเหตุที่มีราคาแพงเนื่องมาจากไอศครีมมีส่วนผสมของโกโก้พันธุ์ดีและหา ยากมากๆ จำนวน 28 ผล (ในจำนวนนี้มีอยู่ 14 ผลที่เป็นโกโก้ชนิดแพงที่สุด) และทองคำ 23 เค ชนิดทานได้ น้ำหนัก 5 กรัม ไอศครีมดังกล่าวจะถูกบรรจุลงในถ้วยทองคำ ที่มีแผ่นทองคำชนิดทานได้รองอยู่ภายในถ้วย นอกจากนี้บริเวณฐานของถ้วยไอศครีมยังตกแต่งด้วยสร้อยทอง 18 เค พร้อมกับเพชรแท้สีขาวอีก 1 กะรัต
9 ออมเล็ตแพงที่สุดในโลก – ออมเล็ตของภัตตาคาร Le Parker Meridien ในกรุงนิวยอร์ค
“ออมเล็ต” หรือไข่คน แพงที่สุดในโลกหารับประทานได้ที่ภัตตาคาร “Le Parker Meridien” ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ที่นั่นเขาขายออมเล็ต (ภาพบน) จานละ 1,000 เหรียญ หรือประมาณ 34,000 บาท ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก ได้แก่ ไข่ปลาคาเวียร์ (sevruga) น้ำหนัก 10 ออนซ์ กุ้งล็อบสเตอร์ทั้งตัว และไข่อีก 6 ฟอง เป็นต้น (เขาว่าถ้านำส่วนผสมทั้งหมด มาทำเองที่บ้าน ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ราวๆ 700 เหรียญ หรือประมาณ 23,800 บาท)
8 พิซซ่าแพงที่สุดในโลก – พิซซ่า Louis XIII
พิซซ่าที่แพงสุดในโลก คือ พิซซ่า “Louis XIII” ฝีมือเชฟหนุ่มชาวอิตาลีที่ชื่อ “เรนาโต้ วิโอล่า” พิซซ่า “Louis XIII” มีขนาด 8 นิ้ว ก่อนทำต้องใช้เวลาในการเตรียมแป้งเป็นเวลานานถึง 72 ช.ม. ขณะที่ท็อปปิ้งหรือหน้าพิซซ่าล้วนมาจากส่วนผสมคุณภาพเยี่ยม อาทิ ชีส mozzarella di bufala ไข่ปลาคาเวียร์ 3 ชนิด กุ้งล็อบสเตอร์จาก Cilento (ในอิตาลี) และประเทศนอร์เวย์ โรยหน้าด้วยเกลือสีชมพูที่มาจากแม่น้ำ Murray ในประเทศออสเตรเลีย ฯลฯ พิซซ่าแพงสุดในโลก “Louis XIII” จำหน่ายในราคาอันละ 8,300 ยูโร หรือเกือบ 4 แสนบาท (ราคานี้รวมค่าตัวเชฟและผู้ช่วยอีก 2 คน ที่จะหอบข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ไปทำพิซซ่าถึงบ้านลูกค้า)
7 แซนด์วิชแพงที่สุดในโลก – คลับแซนด์วิช “von Essen Platinum”
นี่คือโฉมหน้าแซนด์วิช “แพงที่สุดในโลก” ฝีมือนายเจมส์ พาร์คินสัน หัวหน้าเชฟของโรงแรมหรู “von Essen” ในเมืองเบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ หลังจากสังเกตุส่วนผสมของแซนด์วิชในโรงแรมหรูห้าดาวทั่วโลกที่เขาได้มีโอกาส ไปเยี่ยมเยียน เขาจึงคิดรวบรวมส่วนผสมที่ดีที่สุดของแซนด์วิชในแต่ละโรงแรมมาไว้ในอันเดียว กัน ด้วยเหตุนี้ “von Essen Platinum Club Sandwich” ของเขาจึงกลายเป็นคลับแซนด์วิชแพงที่สุดในโลก ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น ประกอบด้วยส่วนผสมหลักคือ เนื้อไก่อย่างดี (พันธุ์ poulet de Bresse ของฝรั่งเศส) แฮม Iberian ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฮมหายากคุณภาพเยี่ยมจากประเทศสเปน เห็ดทรัฟเฟิลขาวและมะเขือเทศจากประเทศอิตาลี ไข่นกกระทาต้มสุก และขนมปังที่ผลิตจากแป้งชนิดพิเศษ แซนด์วิช “von Essen Platinum” ของเชฟพาร์คินสัน จำหน่ายในราคาอันละ 100 ปอนด์ หรือกว่า 5.5 พันบาท ถ้าใครอยากลองทานว่าจะเด็ดสักแค่ไหน ก็ไปพิสูจน์ได้ที่ภัตตาคาร “Cliveden’s Waldo” ของโรงแรม “von Essen”
6 เนื้อแพงที่สุดในโลก – เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น
เนื้อแพงที่สุดในโลก คือ เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น วัววากิวถือเป็นวัวพื้นเมืองที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ชาวญี่ปุ่นจะเลี้ยงดูวัวเหล่านี้อย่างดีเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการให้หญ้าพันธุ์ดี ธัญพีช ฟาร์มบางแห่งถึงขนาดมีการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้วัว หรือไม่ก็ผสมสาเก หรือเบียร์ ลงไปในอาหาร เนื้อวัวหลายชนิดที่คนรักเนื้อในบ้านเรารู้จักกันดีอย่างเช่น เนื้อโกเบ และมัตสึซากะ ฯลฯ ก็มาจากวัววากิวเช่นกัน แต่สาเหตุที่เรียกชื่อต่างกันเป็นเพราะว่าเลี้ยงกันคนละเมือง (เนื้อโกเบ มาจากฟาร์มในเมืองโกเบ ส่วนเนื้อมัตสึซากะมาจากฟาร์มในเมือง มัตสึซากะ เป็นต้น) เนื้อจากวัววากิวมีคุณค่าทาโภชนาการสูง และไขมันต่ำ รสชาติอร่อย นุ่มลิ้น ราวกับละลายในปาก จึงมีราคาสูงมาก – ที่ยุโรปเนื้อจากวัววากิวน้ำหนักประมาณ 200 กรัม มีราคาขายสูงกว่า 34,000 บาท
5 มันฝรั่งแพงที่สุดในโลก – La Bonnotte
มันฝรั่งราคาแพงที่สุดในโลก คือ “La Bonnotte” ปลูกได้เฉพาะบนเกาะนีวร์มูทีเยของประเทศ ฝรั่งเศสเท่านั้น แถมปีหนึ่งๆ ยังเก็บเกี่ยวได้เพียง 10 วัน ทั้งยังบอบบางมากเสียจนต้องใช้มือถอน และให้ผลผลิตเพียงปีละ 20,000 ก.ก. ด้วยเหตุนี้มันฝรั่งที่ว่าจึงมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละกว่า 2.3 หมื่นบาทเลยทีเดียว
4 เห็ดแพงที่สุดในโลก – ทรัฟเฟิลขาว
เห็ดที่มีราคาแพงที่สุดในโลกคือ เห็ดทรัฟเฟิลขาว ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบ Langhe แห่งแคว้นปีเอมอนเต ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ในอดีตคนเก็บเห็ดทรัฟเฟิลจะใช้หมูช่วยดมกลิ่นค้นหา แต่ระยะหลังๆ มักนิยมใช้สุนัขมากกว่า เพราะสุนัขจะไม่กินเห็ดเหมือนหมู เห็ดชนิดนี้มีราคาขายสูงถึง 1,700 – 3,800 ยูโร ต่อ 1 ก.ก. (ราว 82,000 – 183,502 บาท/ก.ก) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เห็ดทรัฟเฟิลสีขาว น้ำหนัก 1.08 กก. จากอิตาลี ถูกนายสแตนลีย์ โฮ มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจคาสิโนในมาเก๊า ประมูลไปในราคาสูงถึง 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.8 ล้านบาท แต่สถิติเห็ดทรัฟเฟิลขาวราคาสูงสุดที่มีการบันทึกไว้ คือ 330,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 11 ล้านบาท ซึ่งนายสแตนลีย์ โฮ เจ้าเก่า เป็นผู้ชนะประมูลเมื่อปี ค.ศ. 2007
3 ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก – เบลูก้า คาเวียร์
ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก ไม่ได้มีสีดำอย่างที่หลายท่านคุ้นเคย แต่เป็นชนิดที่มีสีเทาอ่อนๆ ไล่ลงมาจนเกือบขาวตามอายุของปลา ยิ่งปลาอายุมากไข่ก็จะมีสีอ่อนลง และมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ไข่ปลาคาเวียร์อัลมาส (ภาษาเปอร์เซี่ยนแปลว่า “เพชร”) ที่ได้มาจากปลา “เบลูก้า สเตอเจี้ยน” อายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ถือเป็นไข่ปลาคาเวียร์ที่หายากที่สุด และมีราคาแพงที่สุด โดยมีราคาสูงถึงเกือบ 25,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ประมาณ 850,000 บาท/ก.ก.) ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของเบลูก้า คาเวียร์ โดยทั่วไปในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7,000 – 10,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 2.38 -3.4 แสนบาท/ก.ก.)ปลา “เบลูก้า สเตอเจี้ยน” มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลแคสเปียน ซึ่งเป็นทะเลปิดที่อยู่ระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปยุโรป อันเป็นพรมแดนของประเทศรัสเซีย อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน เติร์กเมนิสถาน และประเทศคาซัคสถาน บางครั้งอาจพบปลาดังกล่าวอาศัยอยู่ในแถบทะเลดำ นานๆ ครั้งจึงโผล่ให้เห็นบ้างในทะเลอาเดรียติก ปลาชนิดนี้จะถือว่าโตเต็มที่พร้อมให้ผลผลิต (ไข่) เมื่อมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
2 ถั่วแพงที่สุดในโลก – แมคคาเดเมีย
ถั่วที่มีราคาแพงที่สุดในโลก คือ ถั่วแมคคาเดเมีย ถั่วชนิดนี้จะให้ผลผลิตต่อเมื่อมีอายุตั้งแต่ 7-10 ปีขึ้นไป ซึ่งการปลูกให้ได้ผลผลิตที่ดีนั้นจะต้องหมั่นคอยดูแลใส่ปุ๋ย และปลูกในที่ๆ มีฝนตกชุก ถั่วชนิดนี้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน โดยมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศออสเตรเลียมากถึง 7 สายพันธุ์ ที่นิว คาเลโดเนีย 1 สายพันธุ์ และ ที่เมืองสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย อีก 1 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่มีความสำคัญและมีมูลค่าในเชิงการค้ามากที่สุดมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ Macadamia integrifolia และ Macadamia tetraphylla ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ และควีนสแลนด์ ของประเทศออสเตรเลีย ไร่แมคคาเดเมียที่ปลูกขึ้นเพื่อการค้าเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1880 (พ.ศ. 2423) ในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ ของประเทศออสเตรเลีย อีก 2 ปีต่อมาได้มีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์แมคคาเดเมียจากออสเตรเลียไปทดลองปลูกที่ ฮาวาย และเริ่มมีการปลูกแมคคาเดเมียในเชิงการค้าที่นั่นอย่างจริงจังนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) เป็นต้นมา นอกจาก ออสเตรเลีย และฮาวายแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ปลูกแมคคาเดเมียเป็นพืชเศรษฐกิจอีก ได้แก่แอฟริกาใต้ บราซิล สหรัฐอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย) คอสตา ริก้า อิสราเอล เคนย่า โบลิเวีย นิวซีแลนด์ และมาลาวี โดยมีออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก สำหรับราคาขายของถั่วชนิดนี้จะอยู่ที่มากกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (มากกว่า 1 พันบาท/ก.ก.)
1 เครื่องเทศแพงที่สุดในโลก – แซฟฟรอน
แซฟฟรอน เป็นเครื่องเทศที่ได้มาจากเกสรตัวเมีย (สีแดงอมส้ม) ของดอกแซฟฟรอน โครคัส ซึ่งแต่ละดอกจะมีเพียง 3 เกสรเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การที่จะผลิตแซฟฟรอนแห้งให้ได้น้ำหนักเพียง 1 ปอนด์ (0.45 ก.ก.) จะต้องใช้ดอกแซฟฟรอน โครคัส มากถึง 50,000-75,000 ดอก หรือปริมาณมากเท่ากับ 1 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว ดอกโครคัส พบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก อาทิ ประเทศสเปน กรีซ อิหร่าน อินเดีย โมร็อกโก เป็นต้น แต่ประเทศที่ผลิตเครื่องเทศแซฟฟรอนได้มากที่สุดในโลกก็คือ อิหร่าน ซึ่งคิดเป็นส่วนมากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการผลิตทั่วโลก ประเทศที่นิยมใช้แซฟฟรอนเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารได้แก่ อิหร่าน และประเทศอาหรับอื่นๆ รวมถึงประเทศในแถบเอเชียกลาง อินเดีย ตุรกี ยุโรป ฯลฯ ราคาขายส่งและขายปลีกของเครื่องเทศชนิดนี้อยู่ที่ระหว่าง 500-5,000 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งปอนด์ (ราว 17,000-170,000 บาท/0.45 ก.ก) หรือ 1,100-11,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 37,400 – 374,000 บาท/ก.ก.)
Subscribe to:
Posts (Atom)
Wine, Beer & Booze Pairings For Every Thanksgiving Dish

Pairing Wine and Food

Pairing Wine and Cheeses
